tag:blogger.com,1999:blog-71912487346885961902024-03-13T08:52:40.682-07:00คติสอนใจเด็ก__ซ่า001http://www.blogger.com/profile/00588853864757935835noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-7191248734688596190.post-33209920569533545672011-11-03T03:40:00.000-07:002011-11-03T03:40:42.547-07:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-9Ms_ItNpqmw/TrJvm7EXq5I/AAAAAAAAABw/JTIIVtqWM-w/s1600/imagesCAWL2K13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ida="true" src="http://4.bp.blogspot.com/-9Ms_ItNpqmw/TrJvm7EXq5I/AAAAAAAAABw/JTIIVtqWM-w/s1600/imagesCAWL2K13.jpg" /></a></div> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A1" title="กลศาสตร์ควอนตัม"><span style="color: #0645ad;">กลศาสตร์ควอนตัม</span></a> เป็นวิชาที่ให้พื้นฐานสำหรับใช้คำนวณปฏิสัมพันธ์ระหว่าง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5" title="โมเลกุล"><span style="color: #0645ad;">โมเลกุล</span></a>และการแผ่กระจายรังสี ปฏิสัมพันธ์เกือบทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อความถี่ของการแผ่กระจายรังสีที่เทียบได้กับ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1" title="เส้นสเปกตรัม"><span style="color: #0645ad;">เส้นสเปกตรัม</span></a> (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/spectral_lines" title="en:spectral lines"><span style="color: #3366bb;">spectral lines</span></a>) ของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5" title="โมเลกุล"><span style="color: #0645ad;">โมเลกุล</span></a>ซึ่งกำหนดโดยโหมดของการสั่นสะเทือนและการหมุนควงของโมเลกุล (การกระตุ้นทาง<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C" title="อีเลกทรอนิกส์"><span style="color: #0645ad;">อีเลกทรอนิกส์</span></a>โดยทั่วไปใช้ไม่ได้กับการแผ่กระจายรังสีอินฟราเรดเนื่องจากความต้องการพลังงานในปริมาณที่มากกว่าที่จะใช้กับโฟตอนอินฟราเรด)<br />
ความกว้างของเส้นสเปกตรัมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจถึงความสำคัญของการดูดกลืนการแผ่รังสี ความกว้างของสเปกตรัมในบรรยากาศโดยทั่วไปกำหนดด้วย “<i>การแผ่กว้างของแรงดัน</i>” ซึ่งก็คือการบิดเบี้ยวของสเปกตรัมเนื่องจากการประทะกับโมเลกุลอื่น การดูดกลืนรังสีอินฟราเรดเกือบทั้งหมดในบรรยากาศอาจนึกเปรียบเทียบได้ว่าป็นการชนกันระหว่างสองโมเลกุล การดูดกลืนที่เกิดจากโฟตอนทำปฏิกิริยากับโมเลกุลโดดมีขนาดเล็กมากๆ ปัญหาที่เกิดจากการณ์ลักษณะทั้งสามนี้คือ โฟตอน 1 ตัวและโมเลกุล 2 ตัวดังกล่าวสร้างความท้าทายโดยตรงที่ให้น่าสนใจมากขึ้นในเชิงของการคำนวณทาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A1" title="กลศาสตร์ควอนตัม"><span style="color: #0645ad;">กลศาสตร์ควอนตัม</span></a> <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1&action=edit&redlink=1" title="การวัดสเปกตรัม (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">การวัดสเปกตรัม</span></a> (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/spectroscopic_measurements" title="en:spectroscopic measurements"><span style="color: #3366bb;">spectroscopic measurements</span></a>) อย่างระมัดระวังในห้องทดลองให้ผลการคำนวณการถ่ายโอนการแผ่รังสีในการศึกษาบรรยากาศได้น่าเชื่อถือมากกว่าการใช้การคำนวณเชิงกลศาสตร์ควอนตัมแบบเก่า<br />
โมเลกุล/อะตอมที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ของบรรยากาศ ซึ่งได้แก่<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99" title="ออกซิเจน"><span style="color: #0645ad;">ออกซิเจน</span></a> (O<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub>) , <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99" title="ไนโตรเจน"><span style="color: #0645ad;">ไนโตรเจน</span></a> (N<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub>) และ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99" title="อาร์กอน"><span style="color: #0645ad;">อาร์กอน</span></a> (Ar) ไม่ทำปฏิกิริยากับรังสีอินฟราเรดมากนักขณะที่โมเลกุลของออกซิเจนและไนโตรเจนสามารถสั่นตัวได้เนื่องจากความสมดุลในตัว การสั่นตัวจึงไม่เกิดการแยกตัวเชิงภาวะชั่วครู่ของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2" title="ประจุไฟฟ้า"><span style="color: #0645ad;">ประจุไฟฟ้า</span></a> (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/transient_charge_separation" title="en:transient charge separation"><span style="color: #3366bb;">transient charge separation</span></a>) การขาดความเป็น “<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88&action=edit&redlink=1" title="ขั้วคู่ (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">ขั้วคู่</span></a>” ของภาวะชั่วครู่ดังกล่าวจึงไม่มีทั้งการดูดกลืนเข้าและการปล่อยรังสีอินฟราเรดออก ในบรรยากาศของโลกก๊าซที่ทำหน้าที่หลักในการดูดกลืนอินฟราเรดมากที่สุดคือ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3" title="ไอน้ำ"><span style="color: #0645ad;">ไอน้ำ</span></a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%94%E0%B9%8C" title="คาร์บอนไดออกไซด์"><span style="color: #0645ad;">คาร์บอนไดออกไซด์</span></a>และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%99" title="โอโซน"><span style="color: #0645ad;">โอโซน</span></a> (O<sub><span style="font-size: x-small;">3</span></sub>) นอกจากนี้ โมเลกุลอย่างเดียวกันก็ยังเป็นกลุ่มโมเลกุลหลักในการปล่อยอินฟราเรด CO<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub> และ O<sub><span style="font-size: x-small;">3</span></sub> มีลักษณะการสั่นของโมเลกุล<i>แบบยวบยาบ</i>ซึ่งเมื่ออยู่ในภาวะที่เป็นหน่วยเล็กสุด (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/quantum_state" title="en:quantum state"><span style="color: #3366bb;">quantum state</span></a>) มันจะถูกกระตุ้นจากการชนของพลังงานที่เข้าปะทะกับบรรยากาศของโลก ตัวอย่างเช่น <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%94%E0%B9%8C" title="คาร์บอนไดออกไซด์"><span style="color: #0645ad;">คาร์บอนไดออกไซด์</span></a>ซึ่งเป็นโมเลกุลเป็นแบบเกาะกันตามยาวแต่มีรูปแบบการสั่นที่สำคัญคือการแอ่นตัวของโมเลกุลที่คาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ตรงกลางเอนไปข้างหนึ่งและออกซิเจนแอ่นไปอีกข้างหนึ่งทำให้เกิดประจุไฟฟ้าแยกตัวออกมาเป็น “<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88&action=edit&redlink=1" title="ขั้วคู่ (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">ขั้วคู่</span></a>” (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/dipole_moment" title="en:dipole moment"><span style="color: #3366bb;">dipole moment</span></a>) ชั่วขณะหนึ่งซึ่งทำให้โมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ดูดกลืนรังสีอินฟราเรดไว้ได้ การปะทะทำให้เกิดการถ่ายโอนพลังงานไปทำให้ก๊าซที่อยู่รอบๆ ร้อนขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือโมเลกุลของ CO<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub> ถูกสั่นโดยการปะทะนั่นเอง ประมาณร้อยละ 5 ของโมเลกุล CO<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub> ถูกสั่นโดยที่อุณหภูมิของห้องและปริมาณร้อยละ 5 นี้เองที่เปล่งรังสีออกมา การเกิดที่สำคัญของปรากฏการณ์เรือนกระจกจึงเนื่องมาจากการปรากฏอยู่ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่สั่นไหวง่ายเมื่อถูกกระตุ้นโดยอินฟราเรด CO<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub><br />
ยังมีรูปแบบอื่นอีก 2 รูปแบบ ได้แก่การแอ่นตัวที่สมดุลไม่เปล่งรังสีกับการแอ่นตัวที่ไม่สมดุลที่ทำให้เกิดความถี่ในการสั่นสูงเกินที่จะถูกกระตุ้นได้ด้วยการปะทะจากความร้อนของบรรยากาศได้แม้มันจะยังทำหน้าที่ดูดกลืนอินฟราเรดได้บ้างก็ตาม รูปแบบการสั่นตัวของโมเลกุลของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3" title="น้ำ"><span style="color: #0645ad;">น้ำ</span></a>อยู่อัตราที่สูงเกินที่จะแผ่รังสีออกมาได้อย่างมีผล แต่มันยังสามารถดูดกลืนรังสอินฟราเรดที่มีความถี่สูงได้ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3" title="ไอน้ำ"><span style="color: #0645ad;">ไอน้ำ</span></a>มีรูปโมเลกุลแอ่น มีขั้วคู่ที่ถาวร (ปลายของอะตอมออกซิเจนมีอีเลกตรอนมากและอะตอมของไฮโดรเจนมีน้อย) ซึ่งหมายความว่าแสงอินฟราเรดสามารถเปล่งออกและดูดกลืนได้ในระหว่างช่วงต่อของการหมุนตัวและการหมุนตัวก็เกิดได้จากการชนระหว่างการถ่ายโอนพลังงาน <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%86" title="เมฆ"><span style="color: #0645ad;">เมฆ</span></a>ก็นับเป็นตัวดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่สำคัญ ดังนั้น น้ำจึงมีปรากฏการณ์เชิงอเนกต่อการแผ่รังสีอินฟราเรดผ่านช่วงการเป็นไอและช่วงการกลั่นตัว ตัวดูดกลืนที่สำคัญอื่นๆ รวมถึงก๊าซ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%99" title="มีเทน"><span style="color: #0645ad;">มีเทน</span></a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%94%E0%B9%8C" title="ไนตรัสออกไซด์"><span style="color: #0645ad;">ไนตรัสออกไซด์</span></a>และ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน</span></a><br />
การโต้เถียงเกี่ยวกับความสำคัญในความสัมพันธ์ของตัวดูดกลืนรังสีอินฟราเรดชนิดต่างๆ ยังมีความสับสนที่เนื่องมาจากการทับซ้อนกันระหว่างเส้นสเปกตรัมที่เกิดจากก๊าซต่างชนิดที่ถ่างออกเนื่องจากแรงกดดันที่กว้างขึ้น ซึ่งมีผลทำให้การดูดกลืนของก๊าซชนิดหนึ่งไม่อาจเป็นอิสระจากก๊าซอื่นที่มีร่วมอยู่ในขณะนั้นได้ ช่องทางที่อาจทำได้วิธีหนึ่งคือการแยกเอาก๊าซดูดกลืนที่ต้องการวัดออก ปล่อยก๊าซดูดกลืนอื่นๆ ไว้และคงอุณหภูมิไว้ตามเดิมแล้วจึงวัดรังสีอินฟราเรดที่หนีออกสู่ห้วงอวกาศ ค่าที่ลดลงของการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่วัดได้จึงกลายเป็นตัวสำคัญขององค์ประกอบ และเพื่อให้แม่นยำขึ้น การบ่งชี้ปรากฏการณ์เรือนกระจกให้ชัดเจนว่ามีความแตกต่างกันระหว่างการแผ่รังสอินฟราเรดจากผิวโลกสู่ห้วงอวกาศที่ปราศจากบรรยากาศ กับการแผ่รังสีอินฟราเรดที่หนีออกสู่ห้วงอวกาศตามที่เกิดขึ้นจริง จากนั้นจึงคำนวณอัตราร้อยละของการลดลงของปรากฏการณ์เรือนกระจกเมื่อส่วนประกอบ (constituent) ถูกแยกออกไป ตารางข้างล่างนี้คือผลการคำนวณโดยใช้วิธีนี้ ซึ่งได้ใช้แบบจำลองมิติเดี่ยวของบรรยากาศ การใช้แบบจำลอง 3 มิติที่นำมาใช้คำนวณเมื่อเร็วๆ นี้ได้ผลออกมาใกล้เคียงกัน<br />
<center><table class="wikitable" style="text-align: center;"><tbody>
<tr><th>ก๊าซที่ถูกดึงออก</th><th>การลดปรากฏการณ์เรือนกระจก</th></tr>
<tr><td>H<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub>O</td><td>36%</td></tr>
<tr><td>CO<sub><span style="font-size: x-small;">2</span></sub></td><td>9%</td></tr>
<tr><td>O<sub><span style="font-size: x-small;">3</span></sub></td><td>3%</td></tr>
</tbody></table></center>ด้วยการคำนวณวิธีนี้ ทำให้เราคิดได้ว่าไอน้ำเป็นตัวที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกประมาณร้อยละ 30 คาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 9 แต่ผลจากการดึงตัวประกอบทั้งสองเมื่อนำมารวมกันจะได้มากกว่าผลรวมที่ได้จากการลดผลกระทบของตัวประกอบทั้ง 2 ตัวซึ่งในกรณีนี้มากกว่าร้อยละ 45 ข้อกำหนดที่เป็นเงื่อนไขคือตัวเลขเหล่านี้คำนวณได้โดยมีข้อแม้ว่าการกระจายของเมฆต้องตายตัว แต่การแยกเอาไอน้ำออกจากบรรยากาศทั้งๆ ที่มีเมฆมากดูจะไม่สมเหตุผลทางกายภาพเท่าใดนัก นอกจากนี้ปรากฏการณ์ของก๊าซที่กำหนดให้มักเป็นประเภทที่ในแง่ของปริมาณไม่เป็นไปตามยาว ทั้งนี้เนื่องจากการดูดกลืนโดยก๊าซ ณ ระดับหนึ่งในบรรยากาศทำให้โฟตอนแยกออกไปโดยไม่มีผลกระทบใดๆ กับก๊าซที่อยูในระดับความสูงอื่น ประเภทของการประมาณการที่ปรากฏในตารางข้างต้นมักประสบปัญหาที่เป็นที่ถกเถียงกันได้มากเกี่ยวกับ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99" title="ปรากฏการณ์โลกร้อน"><span style="color: #0645ad;">ปรากฏการณ์โลกร้อน</span></a> การประมาณการที่แตกต่างไปที่พบในแหล่งข้อมูลอื่นๆ มักได้มาจากการนิยามที่แตกต่างกันไม่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการถ่ายโอนพลังงานที่กล่าวถึง<br />
<br />
<h2><span class="editsection">[<a href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81&action=edit&section=3" title="แก้ไขส่วน: การป้อนกลับเชิงบวก, การกู่ไม่กลับของปรากฏการณ์เรือนกระจกและจุดพลิกผัน"><span style="color: #0645ad;">แก้</span></a>]</span> <span class="mw-headline" id=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9B.E0.B9.89.E0.B8.AD.E0.B8.99.E0.B8.81.E0.B8.A5.E0.B8.B1.E0.B8.9A.E0.B9.80.E0.B8.8A.E0.B8.B4.E0.B8.87.E0.B8.9A.E0.B8.A7.E0.B8.81.2C_.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.81.E0.B8.B9.E0.B9.88.E0.B9.84.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.81.E0.B8.A5.E0.B8.B1.E0.B8.9A.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.8F.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.93.E0.B9.8C.E0.B9.80.E0.B8.A3.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.99.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.88.E0.B8.81.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B8.88.E0.B8.B8.E0.B8.94.E0.B8.9E.E0.B8.A5.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.9C.E0.B8.B1.E0.B8.99">การป้อนกลับเชิงบวก, การกู่ไม่กลับของปรากฏการณ์เรือนกระจกและจุดพลิกผัน</span></h2><b><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A&action=edit&redlink=1" title="จุดกู่ไม่กลับ (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">จุดกู่ไม่กลับ</span></a></b> (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/Tipping_point" title="en:Tipping point"><span style="color: #3366bb;">Tipping point</span></a>) ของภาวะโลกร้อนคือจุดของการเปลี่ยนที่กระทำโดยกิจกรรมของมนุษย์ที่เสริมให้กระบวนการที่เคยเป็นไปตามปกติของธรรมชาติถึง <i>จุดที่ไม่สามารถดึงกลับได้</i> อีก <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8&action=edit&redlink=1" title="นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ</span></a>บางคนเชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นในปี <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2560" title="พ.ศ. 2560"><span style="color: #0645ad;">พ.ศ. 2560</span></a> หรืออีก 52 ปีข้างหน้า<sup class="reference" id="cite_ref-4"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81#cite_note-4"><span style="color: #0645ad; font-size: x-small;">[5]</span></a></sup> ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่น เช่น<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%8C_%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="เจมส์ แฮนเสน (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">เจมส์ แฮนเสน</span></a> (<a class="extiw" href="http://en.wikipedia.org/wiki/James_Hansen" title="en:James Hansen"><span style="color: #3366bb;">James Hansen</span></a>) นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศคนสำคัญของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2" title="นาซา"><span style="color: #0645ad;">นาซา</span></a>เชื่อว่า<i>ช่วงเวลากู่ไม่กลับ</i>ดังกล่าวได้มาถึงแล้วในขณะนี้ <sup class="reference" id="cite_ref-5"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%81#cite_note-5"><span style="color: #0645ad; font-size: x-small;">[6]</span></a></sup><br />
เมื่อมี<i>วงวน</i>ของปรากฏการณ์ เช่นความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นกลายเป็นตัวเพิ่มอุณหภูมิ การป้อนกลับย่อมเกิดขึ้นเป็นวงวนดังดล่าว ถ้าปรากฏการณ์อุณหภูมิเกิดขึ้นไปในทิศทางเดียวกันการป้อนกลับก็จะเป็นเชิงบวก และถ้าเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามก็จะเป็นการป้อนกลับเชิงลบ ในบางครั้งผลป้อนกลับอาจเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุเดียวกันกับแรง แต่ก็อาจเกิดโดยผ่านก๊าซเรือนกระจกตัวอื่นหรือปรากฏการณ์อื่นก็ได้ เช่นการเปลี่ยนแปลงของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87" title="น้ำแข็ง"><span style="color: #0645ad;">น้ำแข็ง</span></a>ที่ปกคลุมผิวโลกซึ่งมีผลต่อ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="อัตราส่วนรังสีสะท้อน (หน้านี้ไม่มี)"><span style="color: #ba0000;">อัตราส่วนรังสีสะท้อน</span></a>ของโลก<br />
ผลป้อนกลับเชิงบวกไม่จำเป็นต้องทำให้เกิด<i>ปรากฏการณ์หนีห่าง</i> (runaway effect) เสมอไป ด้วยการแผ่รังสีจากผิวโลกที่เพิ่มอุณหภูมิขึ้นเป็น<i>สัดส่วนยกกำลังสี่</i> ผลป้อนกลับย่อมจะต้องมีระดับความรุนแรงพอที่จะสร้างปรากฏการณ์หนีห่างออกไปได้ การเพิ่มอุณหภูมิของก๊าซเรือนกระจกนี้จะทำให้เกิดไอน้ำเพิ่ม เป็นเหตุให้ร้อนเพิ่มขึ้นอีกนี้คือผลป้อนกลับเชิงบวก ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่อาจทำให้ปรากฏการณ์หนีห่างเกิดขึ้นได้ มิฉนั้นปรากฏการณ์หนีห่างดังกล่าวคงเกิดขึ้นมานานแล้ว ปรากฏการณ์ผลป้อนกลับเชิงบวกมีการเกิดได้ทั่วไปและคงมีตัวตนอยู่เสมอ ในขณะปรากฏการณ์หนีห่างเกิดขึ้นได้ยากกว่าและเมื่อเกิดก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดเวลา<br />
ถ้าปรากฏการณ์จากการวนซ้ำครั้งที่สองเกิดขึ้นและมีขนาดมากกว่าการวนซ้ำครั้งแรก เหตุการณ์นี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เป็นกัลปาวสานเด็ก__ซ่า001http://www.blogger.com/profile/00588853864757935835noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7191248734688596190.post-67211931385730342042011-11-03T03:33:00.000-07:002011-11-03T03:33:01.433-07:00โรคไข้หวัดใหญ่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-rF7Q2HxFHSg/TrJtZfDD24I/AAAAAAAAABo/a3g9uDql2MU/s1600/md000920.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ida="true" src="http://2.bp.blogspot.com/-rF7Q2HxFHSg/TrJtZfDD24I/AAAAAAAAABo/a3g9uDql2MU/s1600/md000920.jpg" /></a></div><strong> ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร</strong>ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เช่น จมูก คอ หลอดลม และปอด เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน<br />
สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก<br />
ในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้<br />
<ol><li>ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนคือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน</li>
<li>เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย</li>
<li>ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001</li>
</ol>เด็ก__ซ่า001http://www.blogger.com/profile/00588853864757935835noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7191248734688596190.post-49714439519912776202011-11-03T03:18:00.000-07:002011-11-03T03:18:24.406-07:00คติสอนใจ<strong><span style="font-size: large;"></span></strong> <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-6up9PVp-2gc/TrJpMI6ywiI/AAAAAAAAABY/H-qlKyHtIS4/s1600/imagesCAOM7ALX.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ida="true" src="http://4.bp.blogspot.com/-6up9PVp-2gc/TrJpMI6ywiI/AAAAAAAAABY/H-qlKyHtIS4/s1600/imagesCAOM7ALX.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: large;">คติสอนใจ</span></div><div style="text-align: center;"> <span style="color: black;"> </span><span style="color: black;">เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา<br />
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่<br />
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู<br />
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย<br />
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว<br />
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย<br />
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย<br />
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ ๛<br />
</span></div>เด็ก__ซ่า001http://www.blogger.com/profile/00588853864757935835noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7191248734688596190.post-30343251649046614852011-11-03T03:10:00.000-07:002011-11-03T03:10:15.894-07:00วันเข้าพรรษา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-U8hfBAyGSyc/TrJoVMZuB2I/AAAAAAAAABQ/JoRK7-lseg8/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ida="true" src="http://3.bp.blogspot.com/-U8hfBAyGSyc/TrJoVMZuB2I/AAAAAAAAABQ/JoRK7-lseg8/s1600/images.jpg" /></a></div><span style="color: purple;"><strong> <span style="font-size: large;"> <span style="color: black;">วันเข้าพรรษา</span></span></strong></span><br />
<span style="color: purple;"><strong> <span style="color: black;"> วันเข้าพรรษา</span></strong><span style="color: black;"> เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดช่วงฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น</span></span><span style="color: black;"> </span><br />
<span style="color: black;"> "เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เรียกว่า <span style="font-weight: bold;">"ปุริมพรรษา" </span></span><span style="color: black;"> ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า<span style="font-weight: bold;"> "ปัจฉิมพรรษา"</span> เว้นแต่มีกิจธุระคือเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืน เรียกว่า <span style="font-weight: bold;">"สัตตาหะ"</span> หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด<br />
<span style="color: purple; font-weight: bold;"><span style="color: black;"> สำหรับข้อยกเว้นให้ภิกษุจำพรรษาที่อื่นได้ โดยไม่ถือเป็นการขาดพรรษา เว้นแต่เกิน 7 วัน ได้แก่</span></span><br />
</span><span style="color: black;"> <img alt="" border="0" height="15" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/ann56_1.gif" width="15" />1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย <br />
<img alt="" border="0" height="15" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/ann56_1.gif" width="15" />2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ <br />
<img alt="" border="0" height="15" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/ann56_1.gif" width="15" />3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด <br />
<img alt="" border="0" height="15" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/ann56_1.gif" width="15" />4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้</span><span style="color: black;"><span style="color: maroon;"> นอกจากนี้หาก</span></span><span style="color: black;"><span style="color: maroon;">ระหว่างเดินทางตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาพอดี พระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆ องค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่า ที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้ง ถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีก เพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้ </span> ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาต</span><span style="color: black;">ให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร อันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษา นับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา</span><span style="color: blue;"><span style="color: black;">อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของพระภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญรักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความ</span><span style="color: black;">สะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่น ๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น พร้อมฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด </span></span><span style="color: black;"><span style="color: blue;"><span style="color: black;">บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลานของตน โดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับอานิสงส์</span><span style="color: black;">อย่างสูง</span> </span></span>เด็ก__ซ่า001http://www.blogger.com/profile/00588853864757935835noreply@blogger.com0